วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560

การบันทึกครั้งที่ 3 

วันศุกร์ ที่ 27 มกราคม 2560

เวลาเรียน  08.30-12.30 น.


-ในวันนี้ยังคงเรียนในหัวข้อเรื่อง "ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ"
4.เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with speech and language disorders)

เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด
หมายถึงเกิดจากการพูดผิดปกติของเสียงและขั้นตอนของเสียง
  1. ความบกพร่องในด้านการปรุงเสียง (Articulator Disorders) = เสียงบางส่วนขาดหาย เพิ่มเสียง เสียงเพี้ยน
  2. ความบกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด (speech flow disorders) = พูดไม่ถูกตามลำดับขั้นตอน เว้นวรรคไม่ถูก 
  3. ความบกพร่องของเสียงพูด (voice Disorders) = ความบกพร่องของระดับเสียง เสียงดังหรือค่อยเกินไป คุณภาพเสียงไม่ดี
ความบกพร่องทางภาษา
หมายถึง บกพร่องทางการสื่อสาร
  1. การพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าวัย (Delayed Language) = มีความยากลำบากในการใช้ภาษา สร้างประโยคไม่ได้
  2. ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมองโดยทั่วไปเรียกว่า Dysphasia หรือ aphasia = อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้
Gerstmann's syndrome 
  • ไม่่รู้ชื่อนิ้ว
  • ไม่รู้ซ้ายขวา
  • คำนวณไม่ได้
  • เขียนไม่ได้
  • อ่านไม่ออก
5.เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with physical and health impairments)
หมายถึง เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน มีโรคประจำตัว มีปัญหาระบบประสาท

โรคลมชัก
  1. การชักในช่วงเวลาสั้นๆ = ไม่อันตราย ใช้เวลา 5-10 วินาที
  2. อาการชักแบบรุนแรง = ใช้เวลา 2-5นาที
  3. อาการชักแบบ Partial complex =มีอาการประมาณไม่เกิน 3 นาที เป็นอาการแปลกๆ
  4. อาการไม่รู้สึกตัว = หายากเกิดขี้นในระยะสั้น
  5. ลมบ้าหมู = อันตรายมาก ชักแล้วหมดสติ และหมดความรู้สึก
ซีพี (Cerebral palsy)

เกิดจากระบบประสาทสมองพิการ แต่ไม่มีผลต่อสติปัญญา

  1. กลุ่มแข็งเกร็ง = อัมพาตครึ่งซีก อัมพาตครึ่งท่อนบน อัมพาตครึ่งท่อนล่าง อัมพาตทั้งตัว
  2. กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเอง 
  3. กลุ่มอาการแบบผสม 
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง 
  • โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ
- จากนั้นอาจารย์ก็จะให้้นักศึกษาออกมาทำท่าทางของกลุ่มอาการต่างๆพร้อมยกตัวอย่างมีวิดิโอให้ชมอีกด้วย






ประเมินตัวเอง


-สัปดาห์นี้เรียนค่อนข้างสนุกดิฉันได้ออกไปแสดงตัวิย่างให้เพื่อนๆและอาจรย์ได้ดูด้วยค่ะ

ประเมินเพื่อน
-เพื่อนทุกคนตั้งใจเรียนและทำกิจกรรมดีมากๆเลย

ประเมินอาจารย์
-อาจารย์ได้สอนเนื้อหาและยังมีการยกตัวอย่างให้นักศึกษาได้ดูและศึกษาอีกด้วยค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

การบันทึกครั้งที่ 2 

วันศุกร์ ที่ 20 มกราคม 2560

เวลาเรียน  08.30-12.30 น.

-ในวันนี้เรียนในหัวข้อเรื่อง "ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ"
*แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ*
1.กลุ่มเด็กที่มีความสามารถสูง
-เด็กปัญญาเลิศ(Gifted Child) =มีความสามารถทางสติปัญญาสูงกว่าเด็กวัยเดียวกัน
2.กลุ่มเด็กที่ลักษณะทางความบกพร่อง
-เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)  = เด็กที่มีปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ มี 2กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า กับเด็กปัญญาอ่อน 
 เด็กเรียนช้า สามารเรียนได้แต่จะช้ากว่าเด็กที่วไป มี IQ 71-90 
สาเหตุ ปัจจัยภายใน = เศรษฐกิจครอบครัว  ภายใน =พัฒนาการช้า เจ็บป่วย
 เด็กปัญญาอ่อน สติปัญญาต่ำ แสดงอารมณ์ไม่เหมาะสม และอาการแสดงก่อนอายุ 18
แบ่งIQ ได้4 กลุ่ม 
  1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
  2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 C.M.R
  3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49 T.M.R
  4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 E.M.R
-ดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome) = เกิดจากโครมโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง
-เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired) = มีความบกพร่องทางการได้ยิน มีอยู่ 2 กลุ่ม คือ หูตึง กับหูหนวก
 เด็กหูตึง แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม 
  1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 db
  2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 db
  3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 db
  4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 db
 เด็กหูหนวก =ระดับการได้ยิน ตั้งแต่ 91 db เป็นต้นไป

ระดับเสียงต่างๆ

-เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments) = มองเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนปกติ
มีลานกว้างไม่เกิน 30 องศา และจำแนกได้ 2 ประเภท เด็กตาบอด และเด็กตาบอดไม่สนิท







ประเมินตัวเอง
-ในวันนี้ดิฉันเรียนเนื้อหาอย่างตั้งใจและคอยจดในสิ่งที่อาจารย์ได้บอกและยังได้ออกไปร่วมกิจกรรมหน้าห้องอีกด้วยค่ะ

ประเมินเพื่อน
-เพื่อนๆตั้งใจฟังและจดตามที่อาจารย์สอนและยังมีการซักถาม การออกไปร่วมกิจกรรมหน้าห้องเรียนอีกด้วยค่ะ

ประเมินอาจารย์
-อาจารย์สอนได้สนุกสนานและอาจารย์มักจะยกตัวอย่างต่างๆให้เราได้เรียนรู้เพิ่มเติมและยังมีกิจกรรมสนุกๆให้นักศึกษา


วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560

การบันทึกครั้งที่ 1 

วันศุกร์ ที่ 13 มกราคม 2560

เวลาเรียน  08.30-12.30 น.

-ในสัปดาห์นี้เป็นวันแรกที่ได้พบอาจารย์ อาจารย์ได้แจกแนวการสอน (Course  Syllabus) และอธิบายการเรียนการสอน 


-จากนั้นก็จะเป็นการเรียนการสอนตามใบงานที่อาจารย์ได้แจกให้นักศึกษาทุกคน

*เด็กที่มีความต้องการพิเศษ (Children with special needs)*
*เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ (Early Childhood with special needs )*

ความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 
  1. ทางการแพทย์  = เด็กพิการ 
  2. ทางการศึกษา  =  เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเองและแต่ละคนได้รับการศึกษาไม่เหมือนกัน
สรุป คือ เด็กที่แตกต่างจากเด็กทั่วๆไป และปรัชญาของเรียนรวมคือ All Children can Learn 

พฤติกรรมและพัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
  1. พัฒนาการ = การเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  2. เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ = พัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กทั่วไปในทุกๆด้าน
ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการเด็ก
  1. ปัจจัยทางด้านชีวภาพ
  2. ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมก่อนคลอด
  3. ปัจจัยด้านกระบวนการคลอด
  4. ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมหลังคลอด
สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
  1. พันธุกรรม = ติดตัวมาตั้งแต่เกิดหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ผิวเผือก , เท้าแสนปม , ปากเหว่ง เพดานโหว่ , ธาลัสซีเมีย , ดาว์ซินโดรม
  2.  โรคของประสาท = อาการชัก เกิดจากระบบประสาททำงานผิดปกติ
  3.   การติดเชื้อ = อยู่ในครรภ์ติดเชื้อที่รุนแรง
  4. ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอลิซึม = ไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำ
  5. ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด = ขาดออกซิเจน รกพันคอ ดูดน้ำคล้ำออกไม่ทัน
  6. สารเคมี = ตะกั่ว แอลกอฮอล์ นิโคติน
  7.  การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการขาดสารอาหาร
  8. สาเหตุอื่นๆ = อาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ 



แนวทางการวินิจฉัยเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ 
  • การซักประวัติ
  • การตรวจร่างกาย
  • การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ
  • การประเมินพัฒนาการ
-หลังจากนั้นก็จะเป็นการวาดรูปทดสอบพัฒนาการตามนักทฤษฎี ของกีเซล



ประเมินตัวเอง
-ในวันนี้ดิฉันตั้งใจเรียนเป็นอย่างดี จดตามที่อาจารย์บอกและสอน

ประเมินเพื่อน
-เพื่อนๆวันนี้ตั้งใจเรียนไม่ค่อยคุยกัน และเมื่อทำแบบทดสอบก็พากันทำอย่างสนุกสนานและตั้งใจ

ประเมินอาจารย์
-อาจารย์สอนดีเหมือนเดิมคะ และสอนได้อย่างสนุกสนาน